“ผำโคราช – มาตรฐานไทย มาตรฐานสากล” ถือเป็นโครงการเกิดขึ้นจากความต้องการ ที่จะผลักดันให้เมืองโคราช เป็น “เมืองแห่งจักรวาลผำอุตสาหกรรม” เพื่อการส่งออก ภายใน 3 ปี โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยและคําแนะนําปรึกษา จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนา ระดับพื้นที่ (บพท.)
ที่มาของโครงการนี้ เกิดจากแรงเหวี่ยงของความต้องการผำ ไปตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ไม่สามารถรวบรวมผำที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานได้เพียงพอต่อความต้องการ และ คณะวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้หยิบเอาประเด็นนี้มาเป็นโจทย์วิจัย ศึกษาค้นคว้า แสวงหาคําตอบ กระทั่งพัฒนาเป็นชุดความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับผำอย่างครบวงจร
การดําเนินโครงการนี้ อยู่บนความร่วมมือกันแบบพหุภาคี ระหว่างภาคธุรกิจกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ต้องการเตรียมคน (เกษตรกร / วิสาหกิจชุมชน / ผู้ประกอบการชุมชน) เตรียมของ (ผำสดมาตรฐาน GAP, ผำผง มาตรฐาน GMP, อย.) เตรียม Ecosystem (แหล่งความรู้ ววน. มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ทักษะแรงงาน การจัดการโลจิสติกซ์ ฐานข้อมูล/แพลทฟอร์ม Certification mark) เพื่อมุ่งเป้าทําให้โคราชพร้อมเป็นแหล่งผลิตผำอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจาก บพท. จํานวน 3 ล้านบาท สมทบกับ ทุนสนับสนุนจากภาคเอกชนอีก 450,000 บาท เพื่อค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยี “การขยายปริมาณการผลิตผำปลอดภัยโปรตีนสูงด้วยเทคโนโลยีผสมผสานเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร” สําหรับถ่ายทอดสู่ผู้ใช้เทคโนโลยี ที่เป็นครัวเรือนในจังหวัดนครราชสีมาจํานวน 150 ครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิต จะถูกจําหน่ายทั้งในรูปผำสด ผำแห้ง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ แปรรูปจากผำ โดยตลาดเป้าหมายจะเป็นตลาดชุมชนบนหลักการ 0 mile, ห้างโลตัส ห้างแมคโคร Facebook และการออกบูธร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งนี้ภายหลังเริ่มการลงทุนเพาะเลี้ยงจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้ในเดือนที่ 7 ภายใต้ แนวทางในการบริหารจัดการครัวเรือนให้มีระยะคืนทุน 1 ปี ซึ่งจะประกอบด้วยการบริหารต้นทุน ทรัพยากรการผลิต (แรงงาน น้ำ ปุ๋ย เวลา) ให้ลดลง เพิ่มรอบการเก็บเกี่ยวให้ถี่ขึ้น ลดต้นทุนการ ขนส่งและการอบผ่านการใช้ประโยชน์จาก Platform “ผำโคราช” ที่นําผ้าสดไปแปรรูปเป็นผ้าผง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฝ่าเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อหน่วย สร้าง Brand Positioning ผ่าน Certification mark “ผำโคราช : Born in Korat, Made for the world การสร้างแนวคิดผู้ประกอบการแก่ครัวเรือน ที่เข้าร่วมโครงการ และการนําเสนอโครงการผ้าโคราชต่อหน่วยงานในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง อาทิ เทคโนธานี, เกษตรจังหวัด, พาณิชย์จังหวัด ฯลฯ เพื่อส่งต่อความยั่งยืนของโครงการ
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลผลิตที่ได้จากโครงการของกลุ่มที่เข้าร่วมดังได้กล่าวในข้างต้น พบว่า ประการแรก ครัวเรือนมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นจํานวน 60,000 บาท/ครัวเรือน/ปี 150 ครัวเรือน ประการที่สอง ได้แพลทฟอร์มผ้าโคราช 1 แพลทฟอร์ม ประการที่สาม ได้ Certification mark เพื่อสร้าง Brand Positioning จํานวน 1+4 เครื่องหมาย และ ประการสุดท้าย ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ผ้าโคราช จำนวน 4 กลุ่มได้แก่ 1) ผำชุมชน (2) ผำซุปเปอร์ฟู้ด3) ผำอุตสาหกรรม และ 4) ผำอาหารสัตว์
ขณะที่ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ
1) เทคโนโลยี ถูกนำไปขยายผลผ่านการให้ Licensing หรือการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
2) ครัวเรือนฯเกิดแนวคิด/เรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปผำและการสนับสนุนการตลาดของเอกชน จนสามารถกำหนด Product Positioning ของตนเอง
3) ขณะที่ผู้มีส่วนได้เสียได้ผำคุณภาพสูงเสถียร มีมาตรฐาน Good Agricultral Practices-GAP, มาตรฐาน Good Manufacturing Practices-GMP, อย. และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ
4) เกิด Platform สำคัญที่จะเป็นจุดคานงัด (Lever point) ด้านการผลิตผำโคราชฯ เพราะฐานข้อมูลครัวเรือน จะถูกทำให้เป็นระบบเน้นลงรายละเอียดด้านการผลิตผำ ทำให้ง่ายต่อการเรียกใช้ ต่อยอดและขยายระบบงานในอนาคต รวมถึงการบริหาร Supply chain และ Value chain ของโครงการ
5) เกิด Certification mark ซึ่งเป็น Lever point ด้านการตลาดผ้าโคราช ช่วยสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งในตัวแบรนด์และใจลูกค้า
ในส่วนของผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่
1) เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ แก่ครัวเรือนด้วยววน. โดยมีภาคธุรกิจเป็นกลไกหลัก 60,000 บาท/คน/ปี
2) คุณค่าผลิตภัณฑ์ผำโคราช ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าทำให้ผู้ประกอบการโคราช
จำหน่ายสินค้าได้ง่ายขึ้น ราคาต่อหน่วยสูงขึ้น เกิดรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น
3) ต้นทุนการผลิต แปรรูป และการตลาดลดลง เนื่องจากการบริหารจัดการโครงการแบบรวมศูนย์
4) การส่งเสริมการผลิตและการค้า ผ่าน Platform และ Certification mark ผำโคราช ช่วยสร้างรายได้ ลดต้นทุน
5) สร้างครัวเรือนที่มีแนวคิดผู้ประกอบการ ทำให้ได้เปรียบในเชิงแข่งขัน และเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ
ผลกระทบทางสังคม ได้แก่ครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เกิดการพัฒนาทุนทางปัญญา (ทุนมนุษย์ +ทุนโครงสร้าง+ทุนความสัมพันธ์) เกิดเครือข่ายความความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ นักวิจัย และครัวเรือน
ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญของโครงการผำโคราช
จากสถานการณ์อาหารโลกกำลังเข้าสู่ศตวรรษแห่งความผันผวนของสภาพอากาศ ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร ขณะที่การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและภัยเงียบจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ส่งผลให้มีความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้นขณะที่ประเทศไทยถือเป็นครัวของโลกจากเทรนด์ของโลกจึงสร้างโอกาสส่งออกผำได้
จุดแข็ง-โอกาส :
1) ผำเป็น Super Food เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะปริมาณโปรตีนสูงถึง 39-61.7% ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพการเพาะเลี้ยง และมีฤทธิ์ทางเภสัชมาก อาทิ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการติดเชื้อ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่างในคนที่มีสภาวะเครียดหรือร่างกายมีความเป็นกรดจากอาหาร และช่วยรักษาภาวะซีดในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง
2) ผำเป็น Future Crop เพราะผำเป็นพืชลอยน้ำขนาดเล็ก ไม่มีใบ ไม่มีราก จึงจัดการด้าน เขตกรรมได้ง่าย ใช้น้ําและปุ๋ยน้อย ศัตรูน้อย แตกหน่อเร็ว (1-5 วัน) อายุเก็บเกี่ยวสั้น (5-20 วัน) และทํารอบปลูกได้ง่าย ทํารอบปลูกได้เมื่อต้องการขยายผลสู่ระดับอุตสาหกรรม ผำจึงเหมาะเป็น โรงงานผลิตพืช (cell factory) อาหารโภชนาการสูงสําหรับอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ ทั้งในระดับครัวเรือน ชุมชน ประเทศ ภูมิภาค และโลก
3) จุดเด่นของเทคโนโลยีการผลิตผ้าอุตสาหกรรม มทส. คือ การเลี้ยงผำน้ำน้อย ทั้งน้ําเลี้ยง น้ําล้างและน้ําทิ้ง
4) ผำใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อาทิ อาหารคน อาหารเสริม อาหารสัตว์ ยา เวชสําอาง เชื้อเพลิงชีวภาพ
5) ผำเป็นพืชที่รัฐและเอกชนพร้อมผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจ
จุดอ่อน-อุปสรรค :
1) ข้อจํากัดด้านการยอมรับของผู้บริโภคเรื่องสุขอนามัยของฝ่าที่มีแหล่งที่มาจากบ่อดิน ผำที่เลี้ยงด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักไม่สมบูรณ์ ผำที่เลี้ยงในระบบเปิด ซึ่งมีความเสี่ยงในเรื่องของ กลิ่นดิน เชื้อก่อโรค โลหะหนัก หนอนแมลง ตะไคร่น้ํา และวัชพืชอื่น นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องความเสถียรของคุณภาพผำ อาทิ สีผำ ปริมาณสารสําคัญ
2) การสวมสิทธิ์นําผำชุมชนมาหลอกขายด้วยการ over claim เป็นผำอุตสาหกรรม และ การสวมสิทธิ์ นําผำอาหารสัตว์มาขายเป็นผำอาหารคน อาจทําให้ผู้บริโภครับรู้ความเป็น ซุปเปอร์ฟู้ดของผำคลาดเคลื่อน อาทิ ฝ่าที่ได้ทดลองชิมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทําให้ผู้บริโภคปฏิเสธ ที่จะกินอีก หรือ ฝำไม่สะอาด กินแล้วผู้บริโภคท้องเสีย โพสเตือนผู้บริโภคอื่น ฯลฯ ประเด็นอ่อนไหวเหล่านี้ อาจทําให้วงการผ้าอุตสาหกรรมแท้งก่อนแจ้งเกิดได้
3) ผ้าเป็นพืชน้ําจึงจัดการฟาร์มเลี้ยงได้ง่าย มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น (5-20 วัน) ทําให้ได้ผลผลิต ต่อหน่วยพื้นที่ต่อหน่วยเวลาสูงกว่าพืชอื่นๆ กรณีผู้เลี้ยงขาดความรู้ในการจัดการปุ๋ย ตะไคร่น้ํา ในบ่อเลี้ยง ขาดความรู้ในการแยกสิ่งเจือปนในกระบวนการล้าง จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตผำต่อ หน่วยพื้นที่สูงมาก กรณีผู้เลี้ยง เลี้ยงผำเป็นแต่ไม่มีตลาดรองรับแน่นอน จะเกิดภาวะผำล้นได้ จึงจะต้องมีความรู้ในการแปรรูปผำอบแห้งเบื้องต้น เพื่อลดการสูญเสียของฟาร์ม
4) ผำในต่างประเทศใช้ประโยชน์ในบําบัดน้ำเสีย แต่ประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้มีการบริโภคกันมานานกว่า 50 ปีแล้ว ปัจจุบันวงการผำไทยจึงอยู่ระหว่างสร้างการรับรู้ใหม่แก่ ชาวตะวันตก
5) ผำเป็นพืชที่ดูดสารทุกอย่างทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษได้ดี ดังนั้นควรเลือกซื้อ-ขายผำ เพื่อบริโภคทั้งภายในประเทศและเพื่อการส่งออกจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคและโลหะหนักต้องต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกําหนด
ปัจจุบันในจังหวัดนครราชสีมา มีฟาร์มและแหล่งผลิตผำหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทางวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน เรียกได้ว่า มีฟาร์มผำเชิงพาณิชย์ ฟาร์มผำต้นแบบและวิชาการ และระดับอุตสาหกรรมทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่
สื่อมวลชนสัญจร เมื่อเร็วๆนี้ ทาง บพท. หรือ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ ได้นำคณะสื่อมวลชนได้ เข้าเยี่ยมชม 89 Wolffia Farm ฟาร์มผำ ของคุณ สุปราณี จิตรเจริญ ที่ตั้งอยู่ที่ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งฟาร์มแห่งนี้ เป็นส่วนหนี่งของ โครงการผำโคราช ได้รับการสนับสนุนจากทีมวิจัยผำ มทส. (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี) ควบคุมผลผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐานโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ผำให้มีคุณภาพสูง มีคุณค่าทางโภชนาการ หวังผลักดันให้ผำไทยเป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย



















